بسم الله الرحمن الرحيم
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ พระเจ้าผู้ทรงเมตตาและปราณีเสมอ
เมื่อวานได้มีน้องคนหนึ่งได้แนะนำให้สืบค้นและอ่านเกี่ยวกับการทำงานของหมอคนหนึ่งแถวๆ อยุธยา ที่ชื่อว่า นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ผมก็เลยลองสืบค้นทาง google ดูก็พบเฟสของเขาน่าสนใจมาก เลยติดตามเจอวิดิโอการให้สัมภาษณ์ของเขาในรายงายการ vvip ก็ติดตามชมและฟังจนจบ ได้บทเรียนหลายอย่าง และสิ่งที่หมอบอกที่เป็นการปฎิวัติชีวิตนั้น หลายอย่างมากเลยหรือเกือบทั้งหมดเป็นแนวซุนนะฮฺนบี มีเพียงบางอย่างที่ไม่ตรงและอาจจะตรงกันข้าม ซึ่งผมคิดว่าผมต้องสืบค้นต่อไปว่าของสิ่งที่หมอนำเสนอผิดหรือว่าผมเรียนรู้จากหะดีษมันผิด ส่วนหะดีษไม่ผิดแน่ เพราะหะดีษนบีเป็นแบบอย่างการดำรงชีวิตที่่ถูกต้องของมนุษย์ ที่ผู้ทรงสร้างมนุษย์ได้กำหนดและบ่งบอกมาก
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
หมอบอกว่า ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางธรรมชาติที่
วิเศษที่สุด เพราะมันฟื้นฟูตัวเองได้ มันแก้ไขอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตัวเอง
ขอเพียงแต่อย่าเอาจิตเราไปขวางมัน
เราเพียงแต่เติมเต็มสิ่งที่จะเสริมสร้างร่างกายเรา เช่น อาหาร น้ำ อากาศ
อย่างถูกต้อง พวกนี้ก็จะเป็นวัตถุดิบที่จะไปสร้างร่างกายเรา
ขบวนการซ่อมตัวเองจะเกิดขึ้น”
• ข้อห้ามปฏิบัติ 5 ข้อ
1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าคิดบวกหรือคิดลบก็ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจินตนาการเชิงลบจะก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ร้าย ซึ่งจะเป็นผลลบต่อร่างกาย
2. ห้ามอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ซึ่งเราจะพบว่า คนสมัยก่อนนั้นใช้ชีวิตตามป่าเขา หากินตามวิถีธรรมชาติ มีโอกาสได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงไม่อ้วนเหมือนผู้คนในปัจจุบัน ทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรค
3. ห้ามรับประทานน้ำตาล รวมถึงขนมและอาหารที่ใส่น้ำตาล เนื่องจากความจริงแล้วอาหารที่เราได้จากธรรมชาตินั้นมีแป้งและน้ำตาลอยู่ แล้ว ซึ่งน้ำตาลตามธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนที่พอดีและเหมาะกับร่างกาย แต่ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ติดหวาน เพราะเคยชินกับการเติมน้ำตาลในอาหารมาก จึงทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา
4. ห้ามรับประทาน Trans Fat หรือไขมันที่ผ่านความร้อน เพราะเมื่อไขมันผ่านความร้อน ไอน้ำในอากาศจะแตกตัว ทำให้ไฮโดรเจนในโมเลกุลของไอน้ำเข้าไปฝังตัวอยู่ในคาร์บอนของไขมันชนิดที่ ไม่อิ่มตัวและดึงไขมันอิ่มตัวขึ้นมา ซึ่งไขมันอิ่มตัวนี้เรียกว่า Trans Fat มักอยู่ในของทอด โดยคนที่กินอาหารทอดมากๆ มักเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
5. ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู วัว แพะ แกะ ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เนื่องจากหากศึกษาจากโครงสร้างจะพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยฟันของมนุษย์เป็นฟันแบบตัดซึ่งเหมาะกับการบดเคี้ยวพืช แต่เนื้อสัตว์ใหญ่จะมีลักษณะเหนียวเกินกว่าฟันมนุษย์จะบดเคี้ยวได้
นอกจากนั้น ลำไส้ของมนุษย์ยังมีลักษณะยาวมาก ทำให้เนื้อที่เหนียวและต้องใช้เวลาย่อยหลายวันไปเน่าอยู่ในลำไส้ จึงเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารพิษตามมา
• ข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ
1. เน้นการกินพืชผักผลไม้ ซึ่งเป็นอาหารตามวิถีดั่งเดิมของมนุษย์ ในปริมาณครึ่งหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร โดยเน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานจัด และไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงสุก เนื่องความร้อนจะไปทำลายวิตามิน เอนไซม์ และสารต่างๆที่มีลักษณะเป็นยา หากทำได้ทุกมื้อก็จะเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ
2. กินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีและยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ เพราะจะทำให้ได้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวและคาร์โบไฮเดตลงตามลำดับ เนื่องจากจริงๆข้าวและคาร์โบไฮเดตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้เราหันมาบริโภคข้าวและคาร์โบไฮเดตจนเกิดความ เคยชิน และกลายเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น
3. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง โดยออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ได้หอบหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับพิษออกหลายๆทาง ระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองจะทำงาน ซึ่งระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองนั้นเป็นระบบป้องกันโรคที่สำคัญของมนุษย์
นอกจากนั้น ขณะที่หอบหายใจนั้น ร่างกายจะเอาอากาศออกจากปอดได้ทั้งหมด ทำให้อากาศที่อยู่ในปอดสะอาดและมีปริมาณออกซิเจนสูง
4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงการนอนหลับที่ดีที่สุดคือช่วง 22.00-02.00 น. เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายจะผลิตเมลาโพนินฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เราง่วง พอหลับสนิทร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโต ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เกิดการซ่อมสร้างในเวลาที่รวดเร็ว
5. การมีจินตนาการเชิงบวก คือการจะให้ร่างการมีสุขภาพดี เราจะต้องมีจินตนาการเชิงบวกต่อสุขภาพ ทำให้ชีวิตเรามีความสุข สุขภาพดี แข็งแรง ร่างกายจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าเราเครียดร่างกายเราก็จะอ่อนแอ จิตใต้สำนึกมันส่งผลต่อร่างกาย
• ข้อห้ามปฏิบัติ 5 ข้อ
1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าคิดบวกหรือคิดลบก็ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจินตนาการเชิงลบจะก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ร้าย ซึ่งจะเป็นผลลบต่อร่างกาย
2. ห้ามอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ซึ่งเราจะพบว่า คนสมัยก่อนนั้นใช้ชีวิตตามป่าเขา หากินตามวิถีธรรมชาติ มีโอกาสได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงไม่อ้วนเหมือนผู้คนในปัจจุบัน ทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรค
3. ห้ามรับประทานน้ำตาล รวมถึงขนมและอาหารที่ใส่น้ำตาล เนื่องจากความจริงแล้วอาหารที่เราได้จากธรรมชาตินั้นมีแป้งและน้ำตาลอยู่ แล้ว ซึ่งน้ำตาลตามธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนที่พอดีและเหมาะกับร่างกาย แต่ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ติดหวาน เพราะเคยชินกับการเติมน้ำตาลในอาหารมาก จึงทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา
4. ห้ามรับประทาน Trans Fat หรือไขมันที่ผ่านความร้อน เพราะเมื่อไขมันผ่านความร้อน ไอน้ำในอากาศจะแตกตัว ทำให้ไฮโดรเจนในโมเลกุลของไอน้ำเข้าไปฝังตัวอยู่ในคาร์บอนของไขมันชนิดที่ ไม่อิ่มตัวและดึงไขมันอิ่มตัวขึ้นมา ซึ่งไขมันอิ่มตัวนี้เรียกว่า Trans Fat มักอยู่ในของทอด โดยคนที่กินอาหารทอดมากๆ มักเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
5. ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู วัว แพะ แกะ ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เนื่องจากหากศึกษาจากโครงสร้างจะพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยฟันของมนุษย์เป็นฟันแบบตัดซึ่งเหมาะกับการบดเคี้ยวพืช แต่เนื้อสัตว์ใหญ่จะมีลักษณะเหนียวเกินกว่าฟันมนุษย์จะบดเคี้ยวได้
นอกจากนั้น ลำไส้ของมนุษย์ยังมีลักษณะยาวมาก ทำให้เนื้อที่เหนียวและต้องใช้เวลาย่อยหลายวันไปเน่าอยู่ในลำไส้ จึงเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารพิษตามมา
• ข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ
1. เน้นการกินพืชผักผลไม้ ซึ่งเป็นอาหารตามวิถีดั่งเดิมของมนุษย์ ในปริมาณครึ่งหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร โดยเน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานจัด และไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงสุก เนื่องความร้อนจะไปทำลายวิตามิน เอนไซม์ และสารต่างๆที่มีลักษณะเป็นยา หากทำได้ทุกมื้อก็จะเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ
2. กินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีและยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ เพราะจะทำให้ได้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวและคาร์โบไฮเดตลงตามลำดับ เนื่องจากจริงๆข้าวและคาร์โบไฮเดตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้เราหันมาบริโภคข้าวและคาร์โบไฮเดตจนเกิดความ เคยชิน และกลายเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น
3. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง โดยออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ได้หอบหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับพิษออกหลายๆทาง ระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองจะทำงาน ซึ่งระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองนั้นเป็นระบบป้องกันโรคที่สำคัญของมนุษย์
นอกจากนั้น ขณะที่หอบหายใจนั้น ร่างกายจะเอาอากาศออกจากปอดได้ทั้งหมด ทำให้อากาศที่อยู่ในปอดสะอาดและมีปริมาณออกซิเจนสูง
4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงการนอนหลับที่ดีที่สุดคือช่วง 22.00-02.00 น. เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายจะผลิตเมลาโพนินฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เราง่วง พอหลับสนิทร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโต ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เกิดการซ่อมสร้างในเวลาที่รวดเร็ว
5. การมีจินตนาการเชิงบวก คือการจะให้ร่างการมีสุขภาพดี เราจะต้องมีจินตนาการเชิงบวกต่อสุขภาพ ทำให้ชีวิตเรามีความสุข สุขภาพดี แข็งแรง ร่างกายจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าเราเครียดร่างกายเราก็จะอ่อนแอ จิตใต้สำนึกมันส่งผลต่อร่างกาย
(จาก http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9560000039388 )
จากการให้สัมภาษณ์ทางรายการ vvip ของหมอและจากบทความที่ได้เผยแพร่งทาง
www.manager.co.th นี้ พอที่จะบ่งบอกได้ว่า หลายอย่างมากที่หมอแนะนำเพื่อรักษาโรคปัจจุบัน ตรงกับแนวทางซุนนะฮฺ หรือแบบอย่างที่นบีได้ทำไว้ เช่น
www.manager.co.th นี้ พอที่จะบ่งบอกได้ว่า หลายอย่างมากที่หมอแนะนำเพื่อรักษาโรคปัจจุบัน ตรงกับแนวทางซุนนะฮฺ หรือแบบอย่างที่นบีได้ทำไว้ เช่น
- ช่วงเวลานอน ท่านให้นอนระหว่างเวลา 22.00-24.00 น. แน่นอนช่วงเวลานั้นอิสลามสนับสนุนให้นอน ดังหะดีษนบี(ศ็อลฯ)ทีท่านนบีบอกว่า عن عَائِشَةَ رضي الله عنها قَالَتْ : " مَا نَامَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَبْلَ الْعِشَاءِ ، وَلَا سَمَرَ بَعْدَهَا " ، رواه ابن ماجه (702) وصححه الألباني .รายงานจากท่านหญิงอาอีชะฮฺว่า "ท่านนบี(ศ็อลฯ) ไม่นอนก่อนละหมาดอีชาอฺและไม่พูดคุยหลังละหมาด" (บันทึกโดย อิบนุมาญะฮฺ หะดีษที 702 ยืนยันความน่าเชื่อถือโดย อัล-อัลบานี)
ـ"لَا سَمَرَ إِلَّا لِأَحَدِ رَجُلَيْنِ : لِمُصَلٍّ ، أَوْ مُسَافِرٍ " رواه أحمد (3907) وصححه الألباني
"ไม่มีการพูดคุยกัน(หลังละหมาดอีชาอฺ) เว้นแต่ 2 คนต่อไปนี้ คือ เพื่อละหมาด หรือ เดินทาง" (บันทึกโดย อิมามอะหฺมัด หะดีษที่ 3907 ยืนยันความเชื่อถือโดย อัล-อัลบานี)
พูดคุยักนในทีนี้หมายถึงการทำกิจกรรมหลังละหมาดอิชาอฺ ซึ่งบรรดาอุลามาอฺได้ให้ความเห็นมากหมายในการห้ามถึงสิ่งนี้ เช่น จะเป็นการทำให้ตื่นสายไม่ทันละหมาดศุบฮฺ จะทำให้การทำงานในตอบกลางวันไม่สดใส เป็นต้น โดยในสมัยนั้นไม่มีใครเรียนรู้ระบบการทำงานของร่างกาย แต่มาในสมัยปัจจุบันทางวิทยาศาสตร์สรีระวิทยาได้ทำการศึกษาพบกว่า ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของร่างกาย ตามที่คุณหมอในกล่าวมาในการให้สัมภาษณ์ข้างต้น - การนอนกลางวัน หมอบอกว่าควรนอนกลางวันประมาณ 20 นาที เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีกว่าการนอนกลางวันอย่างสั้นๆ หรือที่เรียกว่า ก็อยลูละฮฺ เป็นการกระทำของนบีและเศาะหาบะฮฺทุกคน มีหลายรายงานที่บ่งบอกว่านบีได้กระทำเช่นนั้น ครั้งท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่าمَا كُنَّا نَقِيلُ وَلَا نَتَغَدَّى إِلَّا بَعْدَ الْجُمُعَةِ"เราไม่นอน(กลางวัน)และไม่รับประทานอาหารจนกว่าหลังจากละหมาดญุมอะฮฺ" (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษที่ 887)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น